วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดาวหาง

ดาวหาง

ดาวหาง คือ วัตถุชนิดหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ มีส่วนที่ระเหิดเป็นแก๊สเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดชั้นฝุ่นและแก๊สที่ฝ้ามัวล้อมรอบ และทอดเหยียดออกไปภายนอกจนดูเหมือนหาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ไปบนนิวเคลียสของดาวหาง นิวเคลียสหรือใจกลางดาวหางเป็น "ก้อนหิมะสกปรก" ประกอบด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝุ่นกับหินแข็งปะปนอยู่ด้วยกัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตรไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร
คาบการโคจรของดาวหางมีความยาวนานแตกต่างกันได้หลายแบบ ตั้งแต่คาบโคจรเพียงไม่กี่ปี คาบโคจร 50-100 ปี จนถึงหลายร้อยหรือหลายพันปี เชื่อว่าดาวหางบางดวงเคยผ่านเข้ามาในใจกลางระบบสุริยะเพียงครั้งเดียว แล้วเหวี่ยงตัวเองออกไปสู่อวกาศระหว่างดาว ดาวหางที่มีคาบการโคจรสั้นนั้นเชื่อว่าแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในแถบไคเปอร์ที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ส่วนดาวหางที่มีคาบการโคจรยาวอาจมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไกลจากดวงอาทิตย์ของเรามาก เช่นในกลุ่มเมฆออร์ตซึ่งประกอบด้วยเศษซากที่หลงเหลืออยู่จากการบีบอัดตัวของเนบิวลา ดาวหางเหล่านี้ได้รับแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวเคราะห์รอบนอก (กรณีของวัตถุในแถบไคเปอร์) จากดวงดาวอื่นใกล้เคียง (กรณีของวัตถุในกลุ่มเมฆออร์ต) หรือจากการชนกัน ทำให้มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์น้อยมีกำเนิดจากกระบวนการที่ต่างไปจากนี้ อย่างไรก็ดี ดาวหางที่มีอายุเก่าแก่มากจนกระทั่งส่วนที่สามารถระเหิดเป็นแก๊สได้สูญสลายไปจนหมดก็อาจมีสภาพคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์น้อยก็ได้
นับถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 มีรายงานการค้นพบดาวหางแล้ว 3,354 ดวง[1] ในจำนวนนี้หลายร้อยดวงเป็นดาวหางคาบสั้น การค้นพบยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนที่ค้นพบแล้วเป็นแค่เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยของจำนวนดาวหางทั้งหมดเท่านั้น วัตถุอวกาศที่มีลักษณะคล้ายกับดาวหางในระบบสุริยะรอบนอกอาจมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านล้านชิ้น[2] ดาวหางที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีปรากฏโดยเฉลี่ยอย่างน้อยปีละหนึ่งดวง[3] ในจำนวนนี้หลายดวงมองเห็นได้เพียงจาง ๆ เท่านั้น ดาวหางที่สว่างมากจนสามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้โดยง่ายมักเรียกว่าดาวหางใหญ่ (Great Comet)
คำว่า "ดาวหาง" (comet) มีรากศัพท์จากภาษาละตินว่า cometes ซึ่งมาจากคำภาษากรีก komē มีความหมายว่า "เส้นผมจากศีรษะ" อริสโตเติลเป็นคนแรกที่ใช้ชื่อ komētēs กับดาวหาง เพื่อบรรยายว่ามันเป็น "ดาวที่มีผม" สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์สำหรับดาวหางคือ (☄) ซึ่งเป็นภาพวาดแผ่นกลมกับเส้นหางยาว ๆ เหมือนเส้นผม


ดาวหางอยู่ในบริเวณด้านนอกสุดของสุริยจักรวาล เลยดาวเนปจูนและพลูโตออกไป บริเวณนั้นเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของเมฆอู้ร์ต นักวิทยาศาสตร์ชื่อ แจน อู้ร์ต ชาวดัทช์เป็นผู้ค้นพบ "เมฆอู้ร์ต" ในบริเวณนั้น

ขณะเกิดสุริยจักรวาล บริเวณสุริยจักรวาลด้านนอก เลยดาวพลูโตออกไป เนื่องจากได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อย กลุ่มเมฆอู้ร์ต ในบริเวณนั้น จึงมีอุณหภูมิหนาวเย็นจัด ไอน้ำและสารอื่น ๆ จึงกลั่นตัวเป็นน้ำแข็งเกาะตัวอยู่บนก้อนหิน ดังนั้น ดาวหาง คือ ก้อนน้ำแข็งเกาะ ตัวอยู่บนก้อนหินขนาดเล็ก ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์เหมือนดาวเคราะห์ขนาดจิ๋วนับล้าน ๆ ดวง โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์อย่างช้า ๆ ส่วนใหญ่ใช้เวลานับล้านปีจึงจะครบหนึ่งรอบ ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ของเราโคจรรอบศูนย์กลางของแกแลกซี่ทางช้างเผือก อย่างช้า ๆ ใช้เวลาโคจรครบรอบหนึ่งประมาณ 250 ล้านปี ดังนั้นระบบสุริยจักรวาลจึงโคจรอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของแกแลกซี่ทางช้างเผือก
ขณะที่ระบบสุริยจักรวาลโคจรรอบศูนย์กลางของแกแลกซี่ทางช้างเผือกอยู่นั้น บางครั้งจะผ่านดาวดวงอื่น ๆ ซึ่งถึงแม้จะไม่เข้าไปใกล้กัน มาก แต่ก็ใกล้กันมากพอจนมีผลกระทบกระเทือนต่อวงโคจรของดาวหาง ดาวหางบางดวงจึงถูกผลักดันเข้ามายังระบบสุริยจักรวาลด้าน ใน เมื่อดาวหางเหล่านี้เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ จะได้รับความร้อน น้ำแข็งที่เกาะตัวบนก้อนน้ำแข็งซึ่งเคยอยู่ในความมืดของอวกาศมานานนับ พันล้านปีเริ่มละลาย กลายเป็นละอองไอ และระเบิดตัวเองออกมา
ก๊าซและฝุ่นเริ่มหลั่งไหลออกมาจากดาวหาง และถูกผลักดันกลับไปยังด้านหลังเพราะแสงจากดวงอาทิตย์และจากลมสุริยะซึ่งประกอบด้วย อิเล็กตรอนและโปรตอน สิ่งที่เรามองเห็นขณะนี้คือ หางของดาวหางขณะเดินทางผ่านท้องฟ้าของโลก
เนื่องจากดาวหางอยู่ไกลสุดขอบสุริยจักรวาลและใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์ครบรอบหนึ่งนานนับล้านปี เราจึงไม่ค่อยมองเห็นดาวหาง บ่อยนักคงมีเฉพาะดางหางมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์สั้น ๆ เช่น ดาวหางฮัลเล่ย์ มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบใช้เวลา 76 ปี มีดาวหาง อีกหลายดวงมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์สั้นกว่านี้ ความจริงนักดาราศาสตร์ "ค้นพบ" ดาวหางเกือบทุกปีแต่อยู่ไกลมากจนนับตาเปล่าของคน ทั่วไปมองไม่เห็น
ถึงแม้ว่าดาวหางจะเป็ฯสถานที่ไม่เหมาะสมสำหรับให้มนุษย์เดินทางขึ้นไปสำรวจ แต่เนื่องจาก ทั้งดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง คือ "เศษหลง เหลือ" จากการเกิดของระบบสุริยจักรวาลเมื่อ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว ดังนั้นการสำรวจดาวหางถึงแม้ว่า จะไม่ใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเอาทรัพยาก รหรือเพื่อการตั้งถิ่นฐาน แต่เพื่อหาความเข้าใจเรื่องจุดกำเนิดของสุริยจักรวาลให้แน่ชัด การสำรวจสุริยจักรวาลทั้งระบบ เรื่องการศึกษา ดาวหางจึงมีความสำคัญมากเรื่องหนึ่ง นักดาราศาสตร์จึงทุ่มเทศึกษาและวิจัยเรื่องของดาวหางมาโดยตลอด
ผลของการวิจัยดาวหางฮัลเล่ย์ ด้วยยานอวกาศเมื่อฮัลเล่ย์ เดินทางมาเยือนโลกครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ดาวหางฮัลเล่ย์ เป็นวัตถุสีดำที่สุดก้อนหนึ่งของสุริยจักรวาล มีสีดำเหมือนก้อนถ่านหิน ที่เรามองเห็นเป็นสีสุกใส เป็นเพราะเรามองเห็นประกายแสงของอนุภาคซึ่ง ถูกขับออกมาจากแก่นกลางสีดำของฮัลเล่ย์
การค้นพบครั้งสำคัญจากการสำรวจรฮัลเล่ย์ ด้วยยานอวกาศ นอกจากการพบว่าแก่นกลางของฮัลเล่ย์ มีสีดำมากแล้ว การค้นพบที่สำคัญ ยิ่งกว่าเรื่องนี้ คือ การพบว่าสารเคมีพื้นฐานในบางอนุภาคของฮัลเล่ย์ เป็นสารเคมีชนิดเดียวกันที่ประกอบเป็นชีวิตบนโลกของเรา คือ ประกอบด้วยไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน และออกซิเจน ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากจึงมีความเห็นว่า ดาวหางที่ชนโลกในสมัยแรก ๆ ของระบบสุริยจักรวาลย่อมนำสารเคมีเหล่านี้มายังโลกด้วย นักวิทยาศาสตร์จึงสงสัยว่าอินทรีย์สารเคมีเหล่านี้ อาจทำให้เกิดชีวิตขึ้นมา บนโลกของเรา















www.google.com
http://www.fkk.ac.th/library/webe-library/science/namo/dawhang/noname1.htm




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น