ดาวเสาร์

ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6 นับจากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นลำดับ 2
จากตำนานของโรมัน Saturn เป็นเทพแห่งการเพาะปลูก ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1610 Galileo ก็เป็นบุคคลแรกที่ใช้กล้องส่องดูดาวเสาร์ การสังเกตดาวเสาร์ในยุคแรก ๆ ข้อมูลที่ได้รับไม่ละเอียดพอภาพที่เห็นมีความละเอียดน้อย
จากตำนานของโรมัน Saturn เป็นเทพแห่งการเพาะปลูก ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1610 Galileo ก็เป็นบุคคลแรกที่ใช้กล้องส่องดูดาวเสาร์ การสังเกตดาวเสาร์ในยุคแรก ๆ ข้อมูลที่ได้รับไม่ละเอียดพอภาพที่เห็นมีความละเอียดน้อย
ยานอวกาศลำแรกที่เดินทางไปยังดาวเสาร์คือยาน Pioneer 11 ในปี ค.ศ. 1979 หลังจากนั้นก็มียานตามไปอีกคือ Voyager 1 และ Voyager 2 นอกจากนี้ยังมียาน Cassini ที่กำลังเดินทางไปมีกำหนดถึงในปี ค.ศ. 2004 นี้
เมื่อมองดูดาวเสาร์ผ่านกล้องดูดาวขนาดเล็ก จะเห็นดาวเสาร์มีลักษณะแป้น จากข้อเท็จจริงแล้ว ขนาดเส้นศูนย์สูตรเมื่อเทียบกับเส้นละติจูด จากขั้วเหนือถึงขั้วใต้จะมีความแตกต่างกันถึง 10% (ศูนย์สูตร : 120,536 km. เส้นละติจูดจากขั้วเหนือถึงขั้วใต้ : 108,728 km) เหตุผลที่ทำให้ดาวเสาร์มีลักษณะแป้น เพราะหมุนรอบตัวเองเร็วและสภาพส่วนใหญ่เป็นก๊าซเหลว ดาวเคราะห์ก๊าซอื่น ๆ ก็มีลักษณะแป้นแต่ไม่มากเท่าดาวเสาร์

ดาวเสาร์มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ในชั้นบรรยากาศมี ไฮโดรเจน 75% อีก 25% เป็นฮีเลียม,น้ำ,มีเทน,แอมโมเนียและหิน ส่วนประกอบของชั้นบรรยากาศนี้ เหมือนกับส่วนประกอบของเนบิวลาสุริยะช่างแรก ๆ ที่ก่อตัวจนเป็นระบบสุริยะของเรา แกนภายในของดาวเสาร์เป็นหินแข็งเหมือนกับดาวพฤหัส ถัดออกมาเป็นชั้นโลหะของไฮโดรเจนเหลว และชั้นโมเลกุลของไฮโดรเจนตามลำดับ นอกนี้ยังมีน้ำปะปนบ้างเล็กน้อย
แกนภายในของดาวเสาร์มีความร้อนประมาณ 12,000 K. และแผ่รังสีพลังงานสู่อวกาศมากกว่าที่รับจากดวงอาทิตย์ พลังงานของดาวเสาร์ทั่งหมดเกิดจากกระบวนการ Kelvin-Helmholtz mechanism เหมือนในดาวพฤหัส แถบเมฆที่เกิดบนดาวเสาร์จะมีลักษณะราบเรียบ ไม่เด่นสะดุดตาเหมือนบนดาวพฤหัส แถบเมฆที่ราบเรียบจะขนานไปกับแนวเส้นศูนย์สูตร รายละเอียดของเมฆด้านบนไม่สามารถเห็นได้จากโลก จนกระทั่งเราได้รับภาพถ่ายจากยาน Voyager ถึงได้ทราบรายละเอียดของแถบเมฆนั้น

เมื่อเราสังเกตดาวเสาร์จากโลกเราจะเห็นวงแหวนได้อย่างชัดเจน ถ้าใช้กล้องดูดาวขนาดใหญ่ สามารถจะเห็นวงแหวนแยกออกจากกันเป็นวงแหวน A และ B ได้ นอกจากนั้นยังสามารถเห็นวงแหวนจาง ๆ ที่เป็นวงแหวน C ได้ด้วย ช่องว่างระหว่างวงแหวน A และ B เรารู้จักกันในชื่อ Cassini และแถบมือว่างเปล่าที่แยกวงแหวน A ออกอีกชั้นหนึ่งรู้จักในชื่อ Encke ภาพถ่ายจากยาน Voyager แสดงให้เห็นแถบวงแหวนจาง ๆ อีก 4 แบบ วงแหวนของดาวเสาร์มีความสว่างมาก ไม่เหมือนวงแหวนของดาวเคราะห์ดวงอื่น วงแหวนของดาวเสาร์ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กจำนวนมหาศาล อนุภาคนี้มีขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นเซนติเมตรจนใหญ่เป็นกิโลเมตร
วงแหวนของดาวเสาร์มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 250,000 km. หนาน้อยกว่า 1 km. ถึงแม้เราจะประทับใจกับวงแหวนของดาวเสาร์ก็ตาม ถ้าเรายุบอนุภาคที่ประกอบเป็นวงแหวนเข้าเป็นมวลก้อนเดียว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางก็ยังไม่ถึง 100 km. นั่นหมายความว่าอนุภาคที่ประกอบเป็นวงแหวนเป็นอนุภาคขนาดเล็ก แต่ที่สว่างเพราะอนุภาคเหล่านั้นถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง วงแหวนที่อยู่นอกสุดเป็นวงแหวน F โดยโครงสร้างของวงแหวนนี้ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก

บนดาวเสาร์มีปรากฏการณ์ tidal เกิดขึ้นเหมือนกับโลกด้วยแรงปฏิกิริยาระหว่างกันของตัวดาวเสาร์ ดาวบริวารและระบบวงแหวน กำเนิดวงแหวนของดาวเสาร์เรายังไม่ทราบแน่ชัด คาดกันว่าวงแหวนก่อตัวมาพร้อม ๆ กับดาวเสาร์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ระบบวงแหวนของดาวเสาร์จะไม่คงที่ตลอดไป โดยจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการที่เกิดขึ้น บางครั้งอาจจะยุบตัวกันเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวเสาร์ก็ได้ ดาวเสาร์มีสนามแม่เหล็กที่เข้มข้นเช่นเดียวกับดาวพฤหัสแต่อ่อนกว่าเล็กน้อย
http://skyclub.tsshoponline.com/articles/solarsystem_saturn.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น