วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดาวเนปจูน

ดาวเนปจูน (Neptune)
เมื่อดาวยูเรนัสถูกค้นพบ คนได้วันเส้นทางของมันผ่านอวกาศ การหมุนรอบของดาวยูเรนัสมีลักษณะผิดปกติบางคนคิดว่าจะต้องมีดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีกดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ที่ไม่เป็นที่รู้จักอาจอยู่ถัดจากดาวยูเรนัส แรงโน้มถ่วงของมันอาจจะดึงไปที่ดาวยูเรนัสจึงทำให้การหมุนของมันเปลี่ยนแปลง ในปี 1845 นักดาราศาสตร์สองคนที่ทำงานคนละที่ในอังกฤษและฝรั่งเศสรู้ว่าดาวเคราะห์ดวงใหม่อยู่ที่ใหน ทั้งสองมีความเห็นตรงกัน คนอื่นๆก็เริ่มลงมือศึกษาดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ ในปี 1846 ชาวเยอรมันชื่อ Johann Galle ได้พบโลกใหม่ด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ มันอยู่ในตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์คนอื่นได้ระบุไว้ก่อนแล้ว ดาวเคราะห์ดวงใหม่มีสีน้ำเงินมีชื่อว่าดาวเนปจูนตามชื่อเทพเจ้าแห่งทะเลโรมัน


ดาวเนปจูนโตเกือบเท่าดาวยูเรนัส มันเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ในระบบสุริยะ มันอยู่ห่างไกลจากโลกมาก จึงทำให้มองเห็นสลัวมาก ดาวเนปจูนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา มันดูคล้ายกับดาวฤกษ์ ยังไม่มียานอวกาศที่เคยไปยังดาวเนปจูน สิ่งที่เรารู้ทั้งหมดก็คือ ดาวเคราะห์ดวงนี้มองเห็นจากโล


ก็เหมือนกับดาวยูเรนัส มีมหาสมุทร น้ำที่ลึกล้อมรอบแกนหินซึ่งอยู่ใจกลางของดาวเนปจูน บรรยากาศของดาวเนปจูนไม่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับดาวยูเรนัส กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นแถบกลุ่มควันขาวที่หมุนรอบดาวเนปจูน บรรยากาศจะเย็นมาก กลุ่มควันประกอบด้วยมีเทนที่แข็ง บางครั้งกลุ่มควันเหล่านี้จะกระจายออกและปกคลุมดาวเนปจูนทั้งดวง อาจมีลมพัดจัดบนดาวเนปจูน ลมเกิดจากอากาศร้อนที่ลอยขึ้น ลมเย็นพัดเข้าไปแทนที่ บนดาวเนปจูน ความร้อนต้องมาจากภายในเพื่อทำให้ลมพัด ในเดือนสิงหาคม ปี 1989 ยานวอเยเจอร์ 2 ได้ไปถึงดาวเนปจูน มันบินผ่านและส่งภาพและการวัดกลับมายังพื้นโลกเราคงมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับดาวเนปจูน ต่อจากนั้น ยานวอเยเจอร์ 2 จะบินออกจากระบบสุริยะตั้งแต่ได้ออกจากโลกไปในปี 1977 ยานอวกาศจะบินผ่านดาวเคราะห์ชั้นนอกสี่ดวง ยังไม่มียานลำใดที่ได้ไปยังดาวเคราะห์ต่างๆมากเหมือนยานวอยาเจอร์


ส่วนโค้งและดาวบริวารของดาวเนปจูน
หลังจากที่ได้มีการค้นพบว่า ดาวยูเรนัสมีวงแหวน คนเริ่มมองหาวงแหวนรอบๆดาวเนปจูนเขาใช้กล้องโทรทัศน์มองดูดาวเนปจูนเมื่อมันเคลื่อนใกล้ดาวฤกษ์ ถ้าดาวเนปจูนมีวงแหวนมันก็จะผ่านด้านหน้าของดาวฤกษ์ วงแหวนแต่ละวงจะตัดแสงของดาวฤกษ์ชั่วขณะหนึ่ง ในปี 1981 นักคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้เห็นการลิบหรื่ของดาวฤกษ์ ตั้งแต่นั้น คนบางคนได้เห็นการลิบหรื่แต่บางคนไม่เห็นอะไรเลย บางมีดาวเนปจูนอาจมีวงแหวนที่เป็นชิ้นส่วนที่แตกออกเป็นชิ้นๆมันอาจมีส่วนโค้งสั้นๆ แทนที่จะเห็นวงแหวนทั้งวง ส่วนโค้งจะหมุนรอบดาวเนปจูน

ดาวบริวาร
นักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารสองดวงที่หมุนรอบดาวเนปจูน ดาวดวงหนึ่งมีขนาดเล็กชื่อว่า Neried ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 300 ไมล์ และหมุนรอบห่างจากดาวเนปจูน 3,475,000 ไมล์ ดาวบริวารดวงอื่นๆของดาวเนปจูนคือดาว Triton มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,100 ไมล์เป็นดาวบริวารที่ใหญ่เป็นที่สี่ ดาว Triton อาจมีบรรยากาศ มันอาจมีมหาสมุทรมีเธนและไนโตรเจนมันหมุนรอบดาวเนปจูนโดยห่างจากดาวเนปจูนเป็นระยะทาง 220,625 ไมล์ ดาว Triton หมุนรอบดาวเนปจูนในทิศทางตรงกันข้ามจากดาวบริวารส่วนใหญ่ มันยังเคลื่อนไหวเข้าไกล้ดาวเนปจูนในเวลา 10 ล้าน ถึง 100 ล้านปี มันอาจปะทะกับดาวเนปจูนหรือมันอาจแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆและก่อตัวเป็นรูปวงแหวนขนาดกว้างล้อมรอบดาวเนปจูน


http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/phitsanulok/suwicha_p/neptune.html

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดาวศุกร์

ดาวศุกร์ (Venus)
ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุดในระบบสุริยะ บนดาวศุกร์ร้อนถึง 480 องศาเซลเซียส ความร้อนขนาดนี้มากจนทำให้ของทุกอย่างลุกแดงดาวศุกร์มีไอหมอกของกรดกำมะถันปกคลุมอย่างหนาแน่น ไอหมอกนี้ไม่มีวันจางหายแม้ว่าแสงอาทิตย์จะจัดจ้าเพียงไร จึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะไปเยี่ยมดาวศุกร์ เพราะพอไปถึงเขาจะถูกย่างจนสุกด้วยความร้อนและถูกผลักดันด้วยแรงลม เขาจะหายใจไม่ออกเพราะอากาศหนาหนักที่กดทับตัวนั้นเป็นอากาศพิษจากหมอกควันของกรดอากาศบนดาวศุกร์ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโลกกว่า60เท่าผิวดาวศุกร์แห้งแล้ง เป็นหินและร้อนจัดนอกจากนี้ก็มีรอยแยกลึกและภูเขาไฟดับ


ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 มีขนาดเล็กกว่าโลกเล็กน้อย จึงได้ชื่อว่าเป็นดาวฝาแฝดกับโลก เป็นดาวเคราะห์ที่ปรากฏสว่างที่สุด สว่างรองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ถ้าเห็นทางทิศตะวันตกในเวลาค่ำเรียกว่า ดาวประจำเมือง และถ้าเห็นทางทิศตะวันออกในเวลาก่อนรุ่งอรุณ เรียกว่า ดาวประกายพรึก ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างรุนแรง เพราะมีบรรยากาศหนาทึบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ดาวศุกร์จึงร้อนมาก อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยสูงกว่าดาวพุธ ดาวศุกร์มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกที่สุด ใกล้กว่าดาวพุธ ซึ่งนักดาราศาสตร์ยุคโบราณเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ใกล้โลกที่สุด ลักษณะพิเศษของดาวศุกร์คือ หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลานานกว่าการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ และถ้าเราอยู่บนดาวศุกร์เวลา 1 วัน จะไม่ยาวเท่ากับเวลาที่ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ นี่คือลักษณะพิเศษที่ดาวศุกร์ไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงใดๆ นอกจากนี้ดาวศุกร์ยังหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือหมุนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ในขณะที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ดาวศุกร์จึงหมุนสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และหมุนสวนทางกับการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองรอบละ 243 วัน แต่ 1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก เพราะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกยาวนาน 58.5 วันของโลก ดาวศุกร์เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์รอบละ 225 วัน 1 ปีของดาวศุกร์จึงยาวนาน 225 วันของโลก





การสำรวจดาวศุกร์โดยยานอวกาศ ยานอวกาศลำแรกที่ถ่ายภาพเมฆดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศของสหรัฐอเมริกา ชื่อยานมารีเนอร์ 10 เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ยานอวกาศลำแรกที่ได้ถ่ายภาพพื้นผิวดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศเวเนรา 9 ของรัสเซีย ซึ่งลงสัมผัสพื้นผิวของดาวศุกร์เมื่อ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ต่อมามียานอวกาศไปสำรวจดาวศุกร์อีกหลายลำ ลำล่าสุดที่ถ่ายภาพโดยอาศัยระบบเรดาร์ คือยานแมกเจลแลน เมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2534
เมื่อ พ.ศ. 2170 โจฮันส์ เคปเลอร์ เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่คำนวณได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2174 ต่อมาในปี พ.ศ. 2259 เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ได้คำนวณการเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ในปี พ.ศ. 2304 และ 2312 พร้อมเสนอว่า สามารถใช้ปรากฏการณ์นี้ในการวัดระยะทาง 1 หน่วยดาราศาสตร์ได้

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดาวหาง

ดาวหาง

ดาวหาง คือ วัตถุชนิดหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ มีส่วนที่ระเหิดเป็นแก๊สเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดชั้นฝุ่นและแก๊สที่ฝ้ามัวล้อมรอบ และทอดเหยียดออกไปภายนอกจนดูเหมือนหาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ไปบนนิวเคลียสของดาวหาง นิวเคลียสหรือใจกลางดาวหางเป็น "ก้อนหิมะสกปรก" ประกอบด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝุ่นกับหินแข็งปะปนอยู่ด้วยกัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตรไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร
คาบการโคจรของดาวหางมีความยาวนานแตกต่างกันได้หลายแบบ ตั้งแต่คาบโคจรเพียงไม่กี่ปี คาบโคจร 50-100 ปี จนถึงหลายร้อยหรือหลายพันปี เชื่อว่าดาวหางบางดวงเคยผ่านเข้ามาในใจกลางระบบสุริยะเพียงครั้งเดียว แล้วเหวี่ยงตัวเองออกไปสู่อวกาศระหว่างดาว ดาวหางที่มีคาบการโคจรสั้นนั้นเชื่อว่าแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในแถบไคเปอร์ที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ส่วนดาวหางที่มีคาบการโคจรยาวอาจมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไกลจากดวงอาทิตย์ของเรามาก เช่นในกลุ่มเมฆออร์ตซึ่งประกอบด้วยเศษซากที่หลงเหลืออยู่จากการบีบอัดตัวของเนบิวลา ดาวหางเหล่านี้ได้รับแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวเคราะห์รอบนอก (กรณีของวัตถุในแถบไคเปอร์) จากดวงดาวอื่นใกล้เคียง (กรณีของวัตถุในกลุ่มเมฆออร์ต) หรือจากการชนกัน ทำให้มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์น้อยมีกำเนิดจากกระบวนการที่ต่างไปจากนี้ อย่างไรก็ดี ดาวหางที่มีอายุเก่าแก่มากจนกระทั่งส่วนที่สามารถระเหิดเป็นแก๊สได้สูญสลายไปจนหมดก็อาจมีสภาพคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์น้อยก็ได้
นับถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 มีรายงานการค้นพบดาวหางแล้ว 3,354 ดวง[1] ในจำนวนนี้หลายร้อยดวงเป็นดาวหางคาบสั้น การค้นพบยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนที่ค้นพบแล้วเป็นแค่เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยของจำนวนดาวหางทั้งหมดเท่านั้น วัตถุอวกาศที่มีลักษณะคล้ายกับดาวหางในระบบสุริยะรอบนอกอาจมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านล้านชิ้น[2] ดาวหางที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีปรากฏโดยเฉลี่ยอย่างน้อยปีละหนึ่งดวง[3] ในจำนวนนี้หลายดวงมองเห็นได้เพียงจาง ๆ เท่านั้น ดาวหางที่สว่างมากจนสามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้โดยง่ายมักเรียกว่าดาวหางใหญ่ (Great Comet)
คำว่า "ดาวหาง" (comet) มีรากศัพท์จากภาษาละตินว่า cometes ซึ่งมาจากคำภาษากรีก komē มีความหมายว่า "เส้นผมจากศีรษะ" อริสโตเติลเป็นคนแรกที่ใช้ชื่อ komētēs กับดาวหาง เพื่อบรรยายว่ามันเป็น "ดาวที่มีผม" สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์สำหรับดาวหางคือ (☄) ซึ่งเป็นภาพวาดแผ่นกลมกับเส้นหางยาว ๆ เหมือนเส้นผม


ดาวหางอยู่ในบริเวณด้านนอกสุดของสุริยจักรวาล เลยดาวเนปจูนและพลูโตออกไป บริเวณนั้นเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของเมฆอู้ร์ต นักวิทยาศาสตร์ชื่อ แจน อู้ร์ต ชาวดัทช์เป็นผู้ค้นพบ "เมฆอู้ร์ต" ในบริเวณนั้น

ขณะเกิดสุริยจักรวาล บริเวณสุริยจักรวาลด้านนอก เลยดาวพลูโตออกไป เนื่องจากได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อย กลุ่มเมฆอู้ร์ต ในบริเวณนั้น จึงมีอุณหภูมิหนาวเย็นจัด ไอน้ำและสารอื่น ๆ จึงกลั่นตัวเป็นน้ำแข็งเกาะตัวอยู่บนก้อนหิน ดังนั้น ดาวหาง คือ ก้อนน้ำแข็งเกาะ ตัวอยู่บนก้อนหินขนาดเล็ก ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์เหมือนดาวเคราะห์ขนาดจิ๋วนับล้าน ๆ ดวง โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์อย่างช้า ๆ ส่วนใหญ่ใช้เวลานับล้านปีจึงจะครบหนึ่งรอบ ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ของเราโคจรรอบศูนย์กลางของแกแลกซี่ทางช้างเผือก อย่างช้า ๆ ใช้เวลาโคจรครบรอบหนึ่งประมาณ 250 ล้านปี ดังนั้นระบบสุริยจักรวาลจึงโคจรอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของแกแลกซี่ทางช้างเผือก
ขณะที่ระบบสุริยจักรวาลโคจรรอบศูนย์กลางของแกแลกซี่ทางช้างเผือกอยู่นั้น บางครั้งจะผ่านดาวดวงอื่น ๆ ซึ่งถึงแม้จะไม่เข้าไปใกล้กัน มาก แต่ก็ใกล้กันมากพอจนมีผลกระทบกระเทือนต่อวงโคจรของดาวหาง ดาวหางบางดวงจึงถูกผลักดันเข้ามายังระบบสุริยจักรวาลด้าน ใน เมื่อดาวหางเหล่านี้เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ จะได้รับความร้อน น้ำแข็งที่เกาะตัวบนก้อนน้ำแข็งซึ่งเคยอยู่ในความมืดของอวกาศมานานนับ พันล้านปีเริ่มละลาย กลายเป็นละอองไอ และระเบิดตัวเองออกมา
ก๊าซและฝุ่นเริ่มหลั่งไหลออกมาจากดาวหาง และถูกผลักดันกลับไปยังด้านหลังเพราะแสงจากดวงอาทิตย์และจากลมสุริยะซึ่งประกอบด้วย อิเล็กตรอนและโปรตอน สิ่งที่เรามองเห็นขณะนี้คือ หางของดาวหางขณะเดินทางผ่านท้องฟ้าของโลก
เนื่องจากดาวหางอยู่ไกลสุดขอบสุริยจักรวาลและใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์ครบรอบหนึ่งนานนับล้านปี เราจึงไม่ค่อยมองเห็นดาวหาง บ่อยนักคงมีเฉพาะดางหางมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์สั้น ๆ เช่น ดาวหางฮัลเล่ย์ มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบใช้เวลา 76 ปี มีดาวหาง อีกหลายดวงมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์สั้นกว่านี้ ความจริงนักดาราศาสตร์ "ค้นพบ" ดาวหางเกือบทุกปีแต่อยู่ไกลมากจนนับตาเปล่าของคน ทั่วไปมองไม่เห็น
ถึงแม้ว่าดาวหางจะเป็ฯสถานที่ไม่เหมาะสมสำหรับให้มนุษย์เดินทางขึ้นไปสำรวจ แต่เนื่องจาก ทั้งดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง คือ "เศษหลง เหลือ" จากการเกิดของระบบสุริยจักรวาลเมื่อ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว ดังนั้นการสำรวจดาวหางถึงแม้ว่า จะไม่ใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเอาทรัพยาก รหรือเพื่อการตั้งถิ่นฐาน แต่เพื่อหาความเข้าใจเรื่องจุดกำเนิดของสุริยจักรวาลให้แน่ชัด การสำรวจสุริยจักรวาลทั้งระบบ เรื่องการศึกษา ดาวหางจึงมีความสำคัญมากเรื่องหนึ่ง นักดาราศาสตร์จึงทุ่มเทศึกษาและวิจัยเรื่องของดาวหางมาโดยตลอด
ผลของการวิจัยดาวหางฮัลเล่ย์ ด้วยยานอวกาศเมื่อฮัลเล่ย์ เดินทางมาเยือนโลกครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ดาวหางฮัลเล่ย์ เป็นวัตถุสีดำที่สุดก้อนหนึ่งของสุริยจักรวาล มีสีดำเหมือนก้อนถ่านหิน ที่เรามองเห็นเป็นสีสุกใส เป็นเพราะเรามองเห็นประกายแสงของอนุภาคซึ่ง ถูกขับออกมาจากแก่นกลางสีดำของฮัลเล่ย์
การค้นพบครั้งสำคัญจากการสำรวจรฮัลเล่ย์ ด้วยยานอวกาศ นอกจากการพบว่าแก่นกลางของฮัลเล่ย์ มีสีดำมากแล้ว การค้นพบที่สำคัญ ยิ่งกว่าเรื่องนี้ คือ การพบว่าสารเคมีพื้นฐานในบางอนุภาคของฮัลเล่ย์ เป็นสารเคมีชนิดเดียวกันที่ประกอบเป็นชีวิตบนโลกของเรา คือ ประกอบด้วยไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน และออกซิเจน ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากจึงมีความเห็นว่า ดาวหางที่ชนโลกในสมัยแรก ๆ ของระบบสุริยจักรวาลย่อมนำสารเคมีเหล่านี้มายังโลกด้วย นักวิทยาศาสตร์จึงสงสัยว่าอินทรีย์สารเคมีเหล่านี้ อาจทำให้เกิดชีวิตขึ้นมา บนโลกของเรา















www.google.com
http://www.fkk.ac.th/library/webe-library/science/namo/dawhang/noname1.htm




ดาวพุธ

ดาวพุธ



ดาวพุธ เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดของระบบสุริยะ ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 88 วัน ดาวพุธมักปรากฏใกล้ดวงอาทิตย์ หรืออยู่ภายใต้แสงจ้าของดวงอาทิตย์ จึงสังเกตได้ไม่ง่ายนักด้วยกล้องโทรทรรศน์ ขณะทำมุมห่างมากที่สุดจะห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เกิน 28.3° ดาวพุธไม่มีดาวบริวาร ยานอวกาศเพียงลำเดียวที่เคยสำรวจดาวพุธในระยะใกล้ คือ ยานมาริเนอร์ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2517-2518 (ค.ศ. 1974-1975) และสามารถทำแผนที่พื้นผิวดาวพุธได้เพียง 40-45% เท่านั้น

ดาวพุธมีสภาพพื้นผิวใกล้เคียงกับดวงจันทร์มาก มีพื้นผิวขรุขระเนื่องจากการพุ่งชนของอุกกาบาต ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวารรวมทั้งไม่มีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะสร้างชั้นบรรยากาศ ข้อแตกต่างประการเดียวระหว่างดวงจันทร์และดาวพุธคือ ดาวพุธมีแกนกลางเป็นเหล็กขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดสนามแม่เหล็กความเข้มประมาณ 1 เปอร์เซนต์ของสนามแม่เหล็กโลกล้อมรอบดาวพุธไว้
ชื่อ
ละตินของดาวพุธ (Mercury) มาจากคำเต็มว่า Mercurius เทพนำสารของพระเจ้า สัญลักษณ์แทนดาวพุธ คือ ☿ เป็นรูปคทาของเทพเจ้าเมอคิวรี ก่อนศตวรรษที่ 5 ดาวพุธมีสองชื่อ คือ เฮอร์เมส เมื่อปรากฏในเวลาหัวค่ำ และอพอลโล เมื่อปรากฏในเวลาเช้ามืด เชื่อว่าพีทาโกรัสเป็นคนแรกที่ระบุว่าทั้งสองเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน



บรรยากาศ
ดาวพุธมีขนาดเล็กเสียจน
แรงดึงดูดของมันไม่เพียงพอที่จะยึดเอาชั้นบรรยากาศ เอาไว้เป็นเวลานานๆได้ ดาวพุธมีชั้นบรรยากาศบางๆ ที่เป็นก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียม ออกซิเจน โซเดียม แคลเซียม และ โพแทสเซียม ชั้นบรรยากาศของมันไม่ค่อยจะเสถียรนัก อะตอมในบรรยากาศเหล่านี้จะมีการ สูญเสียและถูกเติมอยู่ตลอดเวลา โดยมีแหล่งที่มาหลายแหล่ง ไฮโดรเจนและ ฮีเลียมอาจจะมาจากลมสุริยะ พวกมันแพร่เข้ามาผ่านสนามแม่เหล็กของ ดาวพุธก่อนจะหลุดออกจากบรรยากาศในที่สุด การสลายตัวของสารกัมมันตรังสี จากแกนของดาวก็อาจจะเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ช่วยเติมฮีเลียม โซเดียม และโพแทสเซียมให้กับ บรรยากาศดาวพุธ

อุณหภูมิและแสงอาทิตย์
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของดาวพุธมีค่า 452 เคลวิน แต่แปรผันได้ระหว่าง 90-700 เคลวิน (เนื่องมาจากดาวพุธมีชั้นบรรยากาศที่บางมาก) เทียบกับโลกที่มีค่าแปรผันเพียง 11 เคลวิน (คำนึงเฉพาะการแผ่รังสีดวงอาทิตย์ ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงจากภูมิอากาศหรือฤดูกาล) แสงอาทิตย์บนพื้นผิวดาวพุธมีความเข้มมากกว่าที่โลกราว 6.5 เท่า ความรับอาบรังสี (irradiance) โดยรวมมีค่า 9.13 kW/m²
ที่น่าประหลาดใจ คือ การสังเกตการณ์ด้วย
เรดาร์ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) แสดงว่ามีน้ำแข็งที่ขั้วเหนือของดาวพุธ เชื่อว่าน้ำแข็งอยู่ที่ก้นหลุมอุกกาบาตบางหลุมที่อยู่ในหลืบมืดและไม่เคยถูกแสงอาทิตย์โดยตรงเลย การสำรวจได้เผยให้เห็นถึงแถบสะท้อนเรดาร์ขนาดใหญ่อยู่บริเวณขั้วของดาว ซึ่งน้ำแข็งเป็นหนึ่งในสารไม่กี่ชนิดที่สามารถสะท้อนเรดาร์ได้ดีเช่นนี้



บริเวณที่มีน้ำแข็งนั้นเชื่อกันว่าอยุ่ลึกลงไปใต้พื้นผิวเพียงไม่กี่เมตร และมีน้ำแข็งประมาณ 1014 - 1015 กิโลกรัม เปรียบเทียบกับน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกาของโลกเราที่มีน้ำแข็งอยู่ 4 x 10 18 กิโลกรัม ที่มาของน้ำแข็งบนดาวพุธยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าอาจจะมีที่มาจากดาวหางที่พุ่งชนดาวพุธเมื่อหลายล้านปีก่อน หรืออาจจะมาจากภายในของดาวพุธเอง

ภูมิประเทศ
ดาวพุธมี
หลุมอุกกาบาตจำนวนมากจนดูคล้ายดวงจันทร์ ภูมิลักษณ์ที่เด่นที่สุดบนดาวพุธ (เท่าที่สามารถถ่ายภาพได้) คือ แอ่งแคลอริส หลุมอุกกาบาตที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,350 กิโลเมตร ผิวดาวพุธมีผาชันอยู่ทั่วไป ซึ่งก่อตัวขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว ขณะที่ใจกลางดาวพุธเย็นลงพร้อมกับหดตัว จนทำให้เปลือกดาวพุธย่นยับ พื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวพุธปกคลุมด้วยที่ราบ 2 แบบที่มีอายุต่างกัน ที่ราบที่มีอายุน้อยจะมีหลุมอุกกาบาตหนาแน่นน้อยกว่า เป็นเพราะมีลาวาไหลมากลบหลุมอุกกาบาตที่เกิดก่อนหน้า

องค์ประกอบภายใน
ดาวพุธมี
แก่นที่ประกอบด้วยเหล็กในสัดส่วนที่สูง (แม้เมื่อเปรียบเทียบกับโลก) เป็นโลหะประมาณ 70% ที่เหลืออีก 30% เป็นซิลิเกต ความหนาแน่นเฉลี่ยมีค่า 5,430 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นของโลกอยู่เล็กน้อย สาเหตุที่ดาวพุธมีเหล็กอยู่มากแต่มีความหนาแน่นต่ำกว่าโลก เป็นเพราะในโลกมีการอัดตัวแน่นกว่าดาวพุธ ดาวพุธมีมวลเพียง 5.5% ของมวลโลก แก่นที่เป็นเหล็กมีปริมาตรราว 42% ของดวง (แก่นโลกมีสัดส่วนเพียง 17%) ล้อมรอบด้วยเนื้อดาวหรือแมนเทิลหนา 600 กิโลเมตร


www.google.com

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%98


วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดาวเสาร์


ดาวเสาร์

ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6 นับจากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นลำดับ 2
จากตำนานของโรมัน Saturn เป็นเทพแห่งการเพาะปลูก ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1610 Galileo ก็เป็นบุคคลแรกที่ใช้กล้องส่องดูดาวเสาร์ การสังเกตดาวเสาร์ในยุคแรก ๆ ข้อมูลที่ได้รับไม่ละเอียดพอภาพที่เห็นมีความละเอียดน้อย
ยานอวกาศลำแรกที่เดินทางไปยังดาวเสาร์คือยาน Pioneer 11 ในปี ค.ศ. 1979 หลังจากนั้นก็มียานตามไปอีกคือ Voyager 1 และ Voyager 2 นอกจากนี้ยังมียาน Cassini ที่กำลังเดินทางไปมีกำหนดถึงในปี ค.ศ. 2004 นี้
เมื่อมองดูดาวเสาร์ผ่านกล้องดูดาวขนาดเล็ก จะเห็นดาวเสาร์มีลักษณะแป้น จากข้อเท็จจริงแล้ว ขนาดเส้นศูนย์สูตรเมื่อเทียบกับเส้นละติจูด จากขั้วเหนือถึงขั้วใต้จะมีความแตกต่างกันถึง 10% (ศูนย์สูตร : 120,536 km. เส้นละติจูดจากขั้วเหนือถึงขั้วใต้ : 108,728 km) เหตุผลที่ทำให้ดาวเสาร์มีลักษณะแป้น เพราะหมุนรอบตัวเองเร็วและสภาพส่วนใหญ่เป็นก๊าซเหลว ดาวเคราะห์ก๊าซอื่น ๆ ก็มีลักษณะแป้นแต่ไม่มากเท่าดาวเสาร์

ดาวเสาร์มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ในชั้นบรรยากาศมี ไฮโดรเจน 75% อีก 25% เป็นฮีเลียม,น้ำ,มีเทน,แอมโมเนียและหิน ส่วนประกอบของชั้นบรรยากาศนี้ เหมือนกับส่วนประกอบของเนบิวลาสุริยะช่างแรก ๆ ที่ก่อตัวจนเป็นระบบสุริยะของเรา แกนภายในของดาวเสาร์เป็นหินแข็งเหมือนกับดาวพฤหัส ถัดออกมาเป็นชั้นโลหะของไฮโดรเจนเหลว และชั้นโมเลกุลของไฮโดรเจนตามลำดับ นอกนี้ยังมีน้ำปะปนบ้างเล็กน้อย

แกนภายในของดาวเสาร์มีความร้อนประมาณ 12,000 K. และแผ่รังสีพลังงานสู่อวกาศมากกว่าที่รับจากดวงอาทิตย์ พลังงานของดาวเสาร์ทั่งหมดเกิดจากกระบวนการ Kelvin-Helmholtz mechanism เหมือนในดาวพฤหัส แถบเมฆที่เกิดบนดาวเสาร์จะมีลักษณะราบเรียบ ไม่เด่นสะดุดตาเหมือนบนดาวพฤหัส แถบเมฆที่ราบเรียบจะขนานไปกับแนวเส้นศูนย์สูตร รายละเอียดของเมฆด้านบนไม่สามารถเห็นได้จากโลก จนกระทั่งเราได้รับภาพถ่ายจากยาน Voyager ถึงได้ทราบรายละเอียดของแถบเมฆนั้น




เมื่อเราสังเกตดาวเสาร์จากโลกเราจะเห็นวงแหวนได้อย่างชัดเจน ถ้าใช้กล้องดูดาวขนาดใหญ่ สามารถจะเห็นวงแหวนแยกออกจากกันเป็นวงแหวน A และ B ได้ นอกจากนั้นยังสามารถเห็นวงแหวนจาง ๆ ที่เป็นวงแหวน C ได้ด้วย ช่องว่างระหว่างวงแหวน A และ B เรารู้จักกันในชื่อ Cassini และแถบมือว่างเปล่าที่แยกวงแหวน A ออกอีกชั้นหนึ่งรู้จักในชื่อ Encke ภาพถ่ายจากยาน Voyager แสดงให้เห็นแถบวงแหวนจาง ๆ อีก 4 แบบ วงแหวนของดาวเสาร์มีความสว่างมาก ไม่เหมือนวงแหวนของดาวเคราะห์ดวงอื่น วงแหวนของดาวเสาร์ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กจำนวนมหาศาล อนุภาคนี้มีขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นเซนติเมตรจนใหญ่เป็นกิโลเมตร

วงแหวนของดาวเสาร์มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 250,000 km. หนาน้อยกว่า 1 km. ถึงแม้เราจะประทับใจกับวงแหวนของดาวเสาร์ก็ตาม ถ้าเรายุบอนุภาคที่ประกอบเป็นวงแหวนเข้าเป็นมวลก้อนเดียว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางก็ยังไม่ถึง 100 km. นั่นหมายความว่าอนุภาคที่ประกอบเป็นวงแหวนเป็นอนุภาคขนาดเล็ก แต่ที่สว่างเพราะอนุภาคเหล่านั้นถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง วงแหวนที่อยู่นอกสุดเป็นวงแหวน F โดยโครงสร้างของวงแหวนนี้ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก



บนดาวเสาร์มีปรากฏการณ์ tidal เกิดขึ้นเหมือนกับโลกด้วยแรงปฏิกิริยาระหว่างกันของตัวดาวเสาร์ ดาวบริวารและระบบวงแหวน กำเนิดวงแหวนของดาวเสาร์เรายังไม่ทราบแน่ชัด คาดกันว่าวงแหวนก่อตัวมาพร้อม ๆ กับดาวเสาร์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ระบบวงแหวนของดาวเสาร์จะไม่คงที่ตลอดไป โดยจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการที่เกิดขึ้น บางครั้งอาจจะยุบตัวกันเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวเสาร์ก็ได้ ดาวเสาร์มีสนามแม่เหล็กที่เข้มข้นเช่นเดียวกับดาวพฤหัสแต่อ่อนกว่าเล็กน้อย

www.google.com

http://skyclub.tsshoponline.com/articles/solarsystem_saturn.html